วิธีการง่าย ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางพารา
1. รักษาความชื้นของหน้าดิน โดยการถางหญ้าอย่างถูกวิธีตามฤดูกาล
2. ใส่ปุ๋ยชีวภาพปีละ 2 ครั้ง (100-300 กก./ไร่/ปี)
3. รดหรือพ่นน้ำหมักฮอร์โมน เดือนละ 2 ครั้ง ในช่วงที่ดินมีความชื้น
4. ใส่ปุ๋ยเคมีโดยตรวจสอบแร่ธาตุในดินก่อน แล้วเติมแร่ธาตุที่ยังขาดอยู่เท่านั้นเพื่อลดต้นทุน
ความต้องการแร่ธาตุของต้นยางพาราหลังเปิดกรีดแล้วเป็นดังนี้ (คิดที่ยางให้ผลผลิต 300 กก./ไร่)
- N 20 กก.
- P 5 กก.
- K 25 กก.
- Mg 5 กก.
หากผลผลิตเพิ่มมากกว่านี้เช่น 600 กก./ไร่/ปี เราจะต้องเพิ่มปุ๋ยอีกเป็น 2 เท่า หรือโดยสรุปต้องใส่ปุ๋ยเคมี 4 กก./ต้น/ปี เมื่อผลผลิตที่ได้ 600 กก./ไร่/ปี จึงจะเพียงพอเพื่อชดเชยกับผลผลิตที่เราเอาออกจากต้นยาง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเราบริหารจัดการอย่างถูกวิธี อาจลดปุ๋ยลงเหลือเพียง 2 กก./ต้น เมื่อเราใส่ปุ๋ยหมัก ผสมภูไมท์ในปุ๋ยเคมีเพื่อดูดซับแร่ธาตุไว้และค่อย ๆ ปลดปล่อยอย่างช้า ๆ ใส่ปุ๋ยโดยขุดร่องแล้วฝังกลบเพื่อป้องกันการระเหยของปุ๋ย ซึ่งอาจสูญเสียได้ถึง 30 %
5. การกรีดยางต้องกรีดให้ถึงเยื่อเจริญ ซึ่งทำให้ท่อน้ำเลี้ยงขาดเสียหายไม่สามารถส่งขึ้นไปสังเคราะห์น้ำยางที่ทรงพุ่มได้ ผลผลิตลดลง ต้นแคระแกรน รักษาหน้ายางให้ปราศจากโรครา โดยใช้สารชีวภาพทาหน้ายางเดือนละ 2 ครั้ง เลื่อนหน้ายางให้ถูกแนวกล่าวคือเมื่อขึ้นหน้าใหม่ต้องเลือนถอยหลัง(ตามเข็มนาฬิกา) มิเช่นนั้นจะเป็นการตัดท่อน้ำยางก่อนถึงรอยกรีด
6. ป้องกันการขโมยน้ำยางจากบุคคลภายนอก หรือแม้แต่คนกรีดเอง
7. ทำยางแผ่นให้มีคุณภาพ หรือร่วมกับกลุ่มเกษตรกรที่มี เพื่อให้ผลผลิตมีราคาสูง จะได้ไม่เสียโอกาศ
8. การเปิดครอปแต่ละครั้ง ให้เปิดกรีดต้นฤดูฝนเมื่อดินมีความชื้นพอสมควรแล้ว และหยุดกรีดเมื่อยางเริ่มผลัดใบ มิใช่ยางผลัดใบและเริ่มแตกใบอ่อนแล้ว เพราะเมื่อยางผลัดใบแล้วก็ไม่มีใบที่จะสังเคราะห์แสง ผลผลิตที่ได้ในช่วงนี้ควรให้ต้นยางได้เก็บสะสมไว้ในลำต้นเพื่อการแตกใบใหม่เถอะ ใบใหม่ที่แตกออกมาจะได้แข็งแรงไม่เป็นโรคง่าย
9.กรีดระบบ 1 วัน เว้น 2 วัน มิเช่นนั้นอาจเจอปัญหาหน้าแห้ง ยางไม่เติบโต ต้นเล็กแคระเกร็น ยางที่อายุ 15 ปี ควรมีเส้นรอบลำต้นไม่น้อยกว่า 100 ซม.
10. เมื่อสภาพดินพร้อม ต้นยางโตได้ขนาด(เส้นรอบลำต้น 60 ซม. ขึ้นไป) ก็ใช้ฮอร์โมนแอทธิลีนเพิ่มศักยภาพการผลิต อย่ากลัวหน้าแห้ง หรือ ต้นยางตายเลย ทุกสิ้งทุกอย่างอยู่ที่การบริหารจัดการ ระบบดีแต่ใช้ผิดวิธีก็เสียหาย
มาตี่
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553
นวัตกรรมใหม่ของชาวสวนยางพาราไทย
ในยุคการค้าเสรีที่ไร้พรมแดน ทุกอาชีพต้องมีการแข่งขันกันเพื่อให้เหลือเฉพาะรายที่เกร่งจริง ๆ เท่านั้น ผลประกอบการของทุกอาชีพควรได้รับผลตอบแทนมากกว่าอัตราเงินเฟ้อรวมอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก กล่าวคือผลตอบแทนควรมากกว่า 20 % ขึ้นไป
สำหรับพื้นที่ปลูกยางในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา ปัจจุบันราคาที่ดินอยู่ที่ประมาณไร่ละ 200,000 - 300,000 บาท ชาวสวนยางจึงควรสร้างรายได้จากสวนยางให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 บาท/ปี/ไร่ ซึ่งเป็นผลตอบแทนประมาณ 20 %
ปัจจุบันผลตอบแทนจากสวนยางพาราได้จาก
1. มูลค่าราคาที่ดินที่สูงขึ้น ประมาณปีละ 5-10 % (250,000 * 5 % ประมาณ 12,500 บาท)
2. ผลผลิตจากยางแผ่น ที่ผลผลิตประมาณไม่น้อยกว่า 600- 1,000 กก./ไร่/ปี (คิดที่ราคายางแผ่นเฉลี่ย 70 บาท/กก. รายได้ 600 กก.*70 บาท ประมาณ 42,000 บาท)
3. รายได้จากพืชแซม เช่น ผลผลิตจากกอไผ่ ไม้เศรษฐกิจ ไม้พุ่ม (ผักเหมียง) ประมาณ 5,000 บาท/ไร่/ปี
4. รายได้จากกการขายไม้ยางที่อายุ 50 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1,500 บาท/ไร่/ปี
กล่าวโดยสรุป หากสามารถทำสวนยางให้เป็นไปตามเงื่อนไขรายได้ข้างต้น จะมีรายได้ประมาณ 61,000 บาท/ไร่/ปี เป็นผลตอบแทนที่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อรวมอัตราดอกเบี้ย
ทำสวนยางพาราอย่างไรให้ได้ผลผลิต 600-1,000 กก./ไร่/ปี
1. ทำเลที่ตั้งสวนยาง ต้องมีความชื้น หน้าดินไม่ตื้นเกินไป ความลาดชันไม่สูงมากไป หากลาดชันสูงใช้เครื่องทุนแรงยาก ค่าใช้จ่ายสูง ในกรณีที่บางส่วนเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ก็ควรใช้เครื่องจักรกลปรับสภาพพื้นที่ ยกร่อง ขุดคูระบายน้ำ ไม่ให้รากยางแช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ
2. จัดระยะปลูกให้เหมาะสม ระยะปลูกที่เหมาะสมคือระยะปลูกที่ต้นยางมีพื้นที่ทรงพุ่มกว้างสามารถสังเคราะห์แสงผลิตน้ำยางให้เราได้มากที่สุด และสามารถเติบโตขยายลำต้นมีเส้นรอบวงลำต้นได้ไม่น้อยกว่า 120 ซม. เมื่อถึงเวลาโค่นขาย ในกรณีที่ปลูกยางสายพันธุ์ยอดฮิต RRIM 600 ระยะที่เหมาะสมคือ 3*8 หรือ 3*9 ซึ่งจะปลูกยางได้ 60-67 ต้น/ไร่ หากอัตรารอดไม่น้อยกว่า 90 % จะได้ต้นยางประมาณ 54-60 ต้น/ไร่ และเมื่อดูแลอย่างปราณีตให้เติบโตสม่ำเสมอทั้งแปลง ควรจะได้ต้นยางพร้อมกรีดขนาดเส้นรอบวงลำต้น 60 ซม. ที่อายุ 6 ปีเต็ม ไม่น้อยกว่า 50- 60 ต้น/ไร่
3. การจัดวางผังแนวแถวยาง ต้องวางแนวยางตามแนวตะวัน ทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโค่นล้มจากลม และให้สามารถรับแสงเพื่อการสังเคราะห์แสงได้เท่า ๆ กันทุกต้น การตัดถนนหลัีก และ ถนนซอยในแปลงให้มีขนาดกว้างเหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรทุ่นแรง เช่น ถนนหลักกลางอกยาง และ ถนนซอยขวางทุก ๆ 100 เมตร(กรณีใช้สายเครื่องพ่นยา 50 เมตร จะพ่นได้สองข้าง ซ้ายขวา) กว้าง ประมาณ 4 เมตร แนวรอบแดนสวนควรปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อเป็นกำบังลมและสามารถสู้กับต้นไม้หรือยางเก่าของพื้นที่ติดแดน
4. พันธุ์ยาง ควรเลือกพันธุ์ยางให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ให้ผลผลิตสูง ทนต่อโรค ใบร่วงน้อย เพื่อให้สามารถสังเคราะห์แสงผลิตน้ำยางได้มากตลอดปี พันธุ์ยางแนะนำได้แก่
- RRIM 600
- RRIT 251 (ยางพื้นเมือง อ.นาทวี จ.สงขลา)
- สายพันธุ์ลุงฉิ้ม จ.ตรัง (DRC 45-48%)
และสายพันธุ์ยางใหม่จากมาเลเซียที่ให้ผลผลิตสูงและโตเร็ว ได้แก่
- RRIM 2001
- RRIM 929
- RRIM 2027
- PB 350
สายพันธุ์ยางเหล่านี้ สามารถให้ผลผลิตได้ที่ 500 กก./ไร่/ปี เมื่อบำรุงรักษาอย่างดี และโตเร้ว ที่อายุ 4 ปี มีขนาดเส้นรอบวง 50-60 ซม.
5. วิธีการปลูก ควรเลือกใช้วิธีปลูกเมล็ดในแปลงแล้วติดตาในแปลง ทั้งนี้เพื่อให้ยางหยั่งรากแก้วลงไปในดินได้ลึก สามารถดูดซึมน้ำใต้ดินได้ลึก และ ไม่โค่นล้มง่าย หากินเก่ง เมล็ดยางที่ใช้ควรเป็นเมล็ดสายพันธุ์พื้นเมืองหรือ GT1 หรือ BPM 24 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ต้านทานโรคไฟท๊อปเทอร่า หากินเก่ง ต้นตอเหล่านี้ต้องบำรุงรักษาตั้งแต่แรกให้ลำต้นสมบูรณ์ก่อนติดตา
6. การติดตา เลือกกิ่งตาที่สมบูรณ์เท่านั้น คัดเลือก 2 ตา/กิ่ง เมื่อตัดยอดเดิมแล้วให้ใช้ไม้มบบังตา เพื่อป้องก้นกิ่งตาใหม่หักเสียหาย
7. เทคนิคการใส่ปุ๋ย ให้เลือกใส่เฉพาะต้นเล็กที่โตช้าเท่านั้น เพื่อให้ต้นยางโตสมำาเสมอเท่ากันทั้งแปลง หลังจาก 2 ปีไปแล้วต้นยางโตเท่ากันจึงใส่ปุ่ยให้ทุกต้น ประมาณ 3-4 ครั้ง/ปี (ใส่น้อยแต่บ่อยครั้ง) ยางจะโตอย่างรวดเร็ว ยางอายุ 5 ปี เส้นรอบลำต้นประมาณ 50-60 ซม.
8. หมั่นตัดแต่งกิ่ง เพื่อไม่ให้ต้นยางสูญเสียโอกาศเติบโตไปกับกิ่งแขนง
9. ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพควบคู่กับการฉีดน้ำหมักฮอร์โมน เพื่อทำให้สภาพดินมีวงจรสิ่งมีชีวิตที่สมดุลย์ ดินร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุ ช่วยอุ้มน้ำ pH ดินต่ำลง จุลินทรีย์ในดินช่วยย่อยสลายธาตุประกอบ P และ K ให้อยู่ในรูปที่ยางสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพที่ดี ควรมีอินทรีย์วัตถุ 2 ส่วน และ รำ 1 ส่วน และมีแร่ธาตุเสริม เช่น ภูไมท์ แร่ฟอสเฟต ขี้ค้างคาว เป็นส่วนผสม และไม่ควรอัดเม็ด เพราะความร้อนจะทำให้จุลินทรีย์ตายได้
ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ควรมีอินทรีย์วัตถุประมาณ 5 % (ซึ่งสภาพดินทั่วประเทศมีอินทรีย์วัตถุเพียง 2 % เท่านั้น) เราจึงควรเติมอินทรีย์วัตถุให้ดิน 100-300 กก./ไร่/ปี
10. ยางพาราที่อายุ 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซี่ยม-แมกนีเซี่ยม เพื่อสร้างทรงพุ่มประมาณ 1-1.5 กก./ต้น/ปี
11. การรักษาความชื้นหน้าดิน โดยการปลูกพืชแซมเพื่อคลุมดิน เช่น ผักเหมียง ไผ่ ไม้สะเดา ทัง ตะเคียนทอง กล้วยขายใบ ฯลฯ หลังจากยางอายุ 4 ปีไปแล้ว ต้องบริหารจัดการหญ้าให้ถูกต้องตามฤดูกาล กล่าวคือ ถางด้วยรถแทรกเตอร์เมื่อเข้าฤดูเปิดกรีด 1 ครั้ง และอีกครั้งช่วงเดือนตุลาคม แต่ถางเฉพาะทางเดิน 2 ข้างเท่านั้น เว้นตรงกลางเพื่อรักษาความชื้น หรือตัดต่ำ ๆ หากกลัวเรื่องไฟไหม้สวนก็ให้ถางเตียนริมแดนรอบสวนเท่านั้น
12. การเปิดกรีดครั้งแรก ให้เปิดกรีดเมื่อยางมีเส้นรอบวงลำต้นขนาดไำม่น้อยกว่า 60 ซม. เพื่อให้ต้นยางสามารถเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องหลังจากเปิดกรีดแล้ว
13. การเปิดกรีดระบบรักษาหน้ายาง เปิดกรีดหน้าสั้น 4 นิ้ว ร่วมกับการใช้ฮอร์โมนเร่งน้ำยาง กรีด 1 วัน เว้น 2-3 วัน
- การกรีดระบบนี้มีประโยชน์มากในเรื่องการประหยัดหน้ายาง (สามารถกรีดหน้าแรกได้ไม่ต่ำกว่า 50 ปี)
- กรีด 1 วัน เว้น 2-3 วัน จะช่วยให้ต้นยางมีเวลาได้สังเคราห์น้ำยางจากน้ำตาลที่อยู่ในน้ำเลี้ยง ซึ่งปกติใช้เวลา 72 ชม.
- แผลกรีดแต่ละครั้งควรหนาไม่เกิน 2.5 มม. ซึ่งในระยะกรีด 1 ปี มีรอยกรีด 60 ครั้ง สูญเสียหน้ายางประาณ 15 ซม. ที่หน้ายางความสูง 120 ซม. จะสามารถกรีดได้ 7 ปี และต้นยางที่อายุ 15 ปี มีขนาดเส้นรอบลำต้นประมาณ 90-100 ซม. (หากบำรุงรักษาดี) จะสามารถแบ่งหน้ากรีดได้ประมาณ 10 หน้า (กรณียางมีอายุมากกว่า 10 ปี จะสามารถกรีดได้สูงถึง 150 ซม. หน้ายางหน้านี้สามารถกรีดได้ 8 ปี)
จะเห็นได้ว่าระบบนี้ทำให้ท่านสามารถกรีดยางหน้าแรกได้ถึง 50 ปีขึ้นไป โดยไม่ต้องโค่นปลูกใหม่ ซึ่งการกรีดระบบเก่าสูญเสียหน้ายางเร็วมากและต้องโค่นปลูกใหม่บ่อยเป็นการสูญเสียทางเศณษฐกิจอย่างร้ายแรง
ยางพาราที่อายุ 15 ปี ขึ้นไป ที่ขนาดรอบลำต้น 120 ซม. ควรมีน้ำหนักมวลรวม 1,500 กก. จะสามารถให้ผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 กก./ไร่/ปี
14. การใช้เสื้อกันฝน เป็นการป้องกันน้ำฝนลงถ้วยรับน้ำยาง สามารถเพิ่มวันกรีดในฤดูฝนได้อีก 20 วัน/ปี หรือได้ผลผลิตเพิ่ม 200 กก./ไร่/ปี (1 ครั้งกรีด ได้ผลผลิต 10-18 กก./ไร่) เราไม่ควรสูญเสียโอกาศเก็บผลผลิตในช่วงฤดูฝนซึ่งดินมีความชื้นสูง
15. การให้ผลตอบแทนคนกรีดยาง คนกรีดยางควรมีรายได้ประมาณ 120,000 - 180,000 บาท/ครอบครัว/ปี เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและีรักงาน มีใจร่วมกับเจ้าของสวนในการบำรุงรักษาต้นยาง รักษาหน้ายาง เสมือนเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
สิ้งต่าง ๆ เหล่านี้ที่กล่าวมาเป็นเพียงเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชาวสวนยางอาจละเลย หากท่านเอาใจใส่จดบันทึกจะเห็นตัวเลขชัดเจน เราหวังว่าชาวสวนยางทุก ๆ ท่าน จะหันมาสนใจในธุรกิจสวนยางที่ท่านทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม จักได้ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำมากกว่าเดิมคุ้มค่าการลงทุน
หากชาวสวนยางสนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้ ยินดีให้คำแนะนำทุกประการ นอกจากนี้เรายังสามารถให้คำแนะนำการใช้ฮอร์โมนแอทธิลีนเร่งน้ำยางของทุก ๆ ระบบ (เพราะลองมาหมดแล้ว) มีข้อมูลและสวนตัวอย่างให้ดู และนอกเหนือจากนี้ยังให้คำแนะนำอื่น ๆ อีกเช่น
- การวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน เพื่อใส่ปุ่ยให้เหมาะสมกับสภาพดิน ไม่ต้องสุ่มใส่ปุ๋ยสูตรโดยไม่รู้สภาพดินเดิม จะช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ย
- คำแนะนำแหล่งปุ๋ยคุณภาพที่ราคาไม่แพง
- มีปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพคุณภาพสูง แบ่งกันใช้ในหมู่เหล่า ไม่ทำเป็นการค้า
- มีน้ำหมักชีวภาพสูตรผสมพิเศษ ทาหน้ายางรักษาโรคเชื้อรา และทำให้เปลือกนิ่ม กรีดง่าย
- รับให้คำปรึกษาการทำสวนยางอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงประเด็น
มาตี่
สำหรับพื้นที่ปลูกยางในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา ปัจจุบันราคาที่ดินอยู่ที่ประมาณไร่ละ 200,000 - 300,000 บาท ชาวสวนยางจึงควรสร้างรายได้จากสวนยางให้ได้ไม่น้อยกว่า 50,000 บาท/ปี/ไร่ ซึ่งเป็นผลตอบแทนประมาณ 20 %
ปัจจุบันผลตอบแทนจากสวนยางพาราได้จาก
1. มูลค่าราคาที่ดินที่สูงขึ้น ประมาณปีละ 5-10 % (250,000 * 5 % ประมาณ 12,500 บาท)
2. ผลผลิตจากยางแผ่น ที่ผลผลิตประมาณไม่น้อยกว่า 600- 1,000 กก./ไร่/ปี (คิดที่ราคายางแผ่นเฉลี่ย 70 บาท/กก. รายได้ 600 กก.*70 บาท ประมาณ 42,000 บาท)
3. รายได้จากพืชแซม เช่น ผลผลิตจากกอไผ่ ไม้เศรษฐกิจ ไม้พุ่ม (ผักเหมียง) ประมาณ 5,000 บาท/ไร่/ปี
4. รายได้จากกการขายไม้ยางที่อายุ 50 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1,500 บาท/ไร่/ปี
กล่าวโดยสรุป หากสามารถทำสวนยางให้เป็นไปตามเงื่อนไขรายได้ข้างต้น จะมีรายได้ประมาณ 61,000 บาท/ไร่/ปี เป็นผลตอบแทนที่คุ้มกับอัตราเงินเฟ้อรวมอัตราดอกเบี้ย
ทำสวนยางพาราอย่างไรให้ได้ผลผลิต 600-1,000 กก./ไร่/ปี
1. ทำเลที่ตั้งสวนยาง ต้องมีความชื้น หน้าดินไม่ตื้นเกินไป ความลาดชันไม่สูงมากไป หากลาดชันสูงใช้เครื่องทุนแรงยาก ค่าใช้จ่ายสูง ในกรณีที่บางส่วนเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ก็ควรใช้เครื่องจักรกลปรับสภาพพื้นที่ ยกร่อง ขุดคูระบายน้ำ ไม่ให้รากยางแช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ
2. จัดระยะปลูกให้เหมาะสม ระยะปลูกที่เหมาะสมคือระยะปลูกที่ต้นยางมีพื้นที่ทรงพุ่มกว้างสามารถสังเคราะห์แสงผลิตน้ำยางให้เราได้มากที่สุด และสามารถเติบโตขยายลำต้นมีเส้นรอบวงลำต้นได้ไม่น้อยกว่า 120 ซม. เมื่อถึงเวลาโค่นขาย ในกรณีที่ปลูกยางสายพันธุ์ยอดฮิต RRIM 600 ระยะที่เหมาะสมคือ 3*8 หรือ 3*9 ซึ่งจะปลูกยางได้ 60-67 ต้น/ไร่ หากอัตรารอดไม่น้อยกว่า 90 % จะได้ต้นยางประมาณ 54-60 ต้น/ไร่ และเมื่อดูแลอย่างปราณีตให้เติบโตสม่ำเสมอทั้งแปลง ควรจะได้ต้นยางพร้อมกรีดขนาดเส้นรอบวงลำต้น 60 ซม. ที่อายุ 6 ปีเต็ม ไม่น้อยกว่า 50- 60 ต้น/ไร่
3. การจัดวางผังแนวแถวยาง ต้องวางแนวยางตามแนวตะวัน ทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ทั้งนี้เพื่อป้องกันการโค่นล้มจากลม และให้สามารถรับแสงเพื่อการสังเคราะห์แสงได้เท่า ๆ กันทุกต้น การตัดถนนหลัีก และ ถนนซอยในแปลงให้มีขนาดกว้างเหมาะสมกับการใช้เครื่องจักรทุ่นแรง เช่น ถนนหลักกลางอกยาง และ ถนนซอยขวางทุก ๆ 100 เมตร(กรณีใช้สายเครื่องพ่นยา 50 เมตร จะพ่นได้สองข้าง ซ้ายขวา) กว้าง ประมาณ 4 เมตร แนวรอบแดนสวนควรปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อเป็นกำบังลมและสามารถสู้กับต้นไม้หรือยางเก่าของพื้นที่ติดแดน
4. พันธุ์ยาง ควรเลือกพันธุ์ยางให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ให้ผลผลิตสูง ทนต่อโรค ใบร่วงน้อย เพื่อให้สามารถสังเคราะห์แสงผลิตน้ำยางได้มากตลอดปี พันธุ์ยางแนะนำได้แก่
- RRIM 600
- RRIT 251 (ยางพื้นเมือง อ.นาทวี จ.สงขลา)
- สายพันธุ์ลุงฉิ้ม จ.ตรัง (DRC 45-48%)
และสายพันธุ์ยางใหม่จากมาเลเซียที่ให้ผลผลิตสูงและโตเร็ว ได้แก่
- RRIM 2001
- RRIM 929
- RRIM 2027
- PB 350
สายพันธุ์ยางเหล่านี้ สามารถให้ผลผลิตได้ที่ 500 กก./ไร่/ปี เมื่อบำรุงรักษาอย่างดี และโตเร้ว ที่อายุ 4 ปี มีขนาดเส้นรอบวง 50-60 ซม.
5. วิธีการปลูก ควรเลือกใช้วิธีปลูกเมล็ดในแปลงแล้วติดตาในแปลง ทั้งนี้เพื่อให้ยางหยั่งรากแก้วลงไปในดินได้ลึก สามารถดูดซึมน้ำใต้ดินได้ลึก และ ไม่โค่นล้มง่าย หากินเก่ง เมล็ดยางที่ใช้ควรเป็นเมล็ดสายพันธุ์พื้นเมืองหรือ GT1 หรือ BPM 24 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ต้านทานโรคไฟท๊อปเทอร่า หากินเก่ง ต้นตอเหล่านี้ต้องบำรุงรักษาตั้งแต่แรกให้ลำต้นสมบูรณ์ก่อนติดตา
6. การติดตา เลือกกิ่งตาที่สมบูรณ์เท่านั้น คัดเลือก 2 ตา/กิ่ง เมื่อตัดยอดเดิมแล้วให้ใช้ไม้มบบังตา เพื่อป้องก้นกิ่งตาใหม่หักเสียหาย
7. เทคนิคการใส่ปุ๋ย ให้เลือกใส่เฉพาะต้นเล็กที่โตช้าเท่านั้น เพื่อให้ต้นยางโตสมำาเสมอเท่ากันทั้งแปลง หลังจาก 2 ปีไปแล้วต้นยางโตเท่ากันจึงใส่ปุ่ยให้ทุกต้น ประมาณ 3-4 ครั้ง/ปี (ใส่น้อยแต่บ่อยครั้ง) ยางจะโตอย่างรวดเร็ว ยางอายุ 5 ปี เส้นรอบลำต้นประมาณ 50-60 ซม.
8. หมั่นตัดแต่งกิ่ง เพื่อไม่ให้ต้นยางสูญเสียโอกาศเติบโตไปกับกิ่งแขนง
9. ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพควบคู่กับการฉีดน้ำหมักฮอร์โมน เพื่อทำให้สภาพดินมีวงจรสิ่งมีชีวิตที่สมดุลย์ ดินร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุ ช่วยอุ้มน้ำ pH ดินต่ำลง จุลินทรีย์ในดินช่วยย่อยสลายธาตุประกอบ P และ K ให้อยู่ในรูปที่ยางสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพที่ดี ควรมีอินทรีย์วัตถุ 2 ส่วน และ รำ 1 ส่วน และมีแร่ธาตุเสริม เช่น ภูไมท์ แร่ฟอสเฟต ขี้ค้างคาว เป็นส่วนผสม และไม่ควรอัดเม็ด เพราะความร้อนจะทำให้จุลินทรีย์ตายได้
ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ควรมีอินทรีย์วัตถุประมาณ 5 % (ซึ่งสภาพดินทั่วประเทศมีอินทรีย์วัตถุเพียง 2 % เท่านั้น) เราจึงควรเติมอินทรีย์วัตถุให้ดิน 100-300 กก./ไร่/ปี
10. ยางพาราที่อายุ 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซี่ยม-แมกนีเซี่ยม เพื่อสร้างทรงพุ่มประมาณ 1-1.5 กก./ต้น/ปี
11. การรักษาความชื้นหน้าดิน โดยการปลูกพืชแซมเพื่อคลุมดิน เช่น ผักเหมียง ไผ่ ไม้สะเดา ทัง ตะเคียนทอง กล้วยขายใบ ฯลฯ หลังจากยางอายุ 4 ปีไปแล้ว ต้องบริหารจัดการหญ้าให้ถูกต้องตามฤดูกาล กล่าวคือ ถางด้วยรถแทรกเตอร์เมื่อเข้าฤดูเปิดกรีด 1 ครั้ง และอีกครั้งช่วงเดือนตุลาคม แต่ถางเฉพาะทางเดิน 2 ข้างเท่านั้น เว้นตรงกลางเพื่อรักษาความชื้น หรือตัดต่ำ ๆ หากกลัวเรื่องไฟไหม้สวนก็ให้ถางเตียนริมแดนรอบสวนเท่านั้น
12. การเปิดกรีดครั้งแรก ให้เปิดกรีดเมื่อยางมีเส้นรอบวงลำต้นขนาดไำม่น้อยกว่า 60 ซม. เพื่อให้ต้นยางสามารถเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องหลังจากเปิดกรีดแล้ว
13. การเปิดกรีดระบบรักษาหน้ายาง เปิดกรีดหน้าสั้น 4 นิ้ว ร่วมกับการใช้ฮอร์โมนเร่งน้ำยาง กรีด 1 วัน เว้น 2-3 วัน
- การกรีดระบบนี้มีประโยชน์มากในเรื่องการประหยัดหน้ายาง (สามารถกรีดหน้าแรกได้ไม่ต่ำกว่า 50 ปี)
- กรีด 1 วัน เว้น 2-3 วัน จะช่วยให้ต้นยางมีเวลาได้สังเคราห์น้ำยางจากน้ำตาลที่อยู่ในน้ำเลี้ยง ซึ่งปกติใช้เวลา 72 ชม.
- แผลกรีดแต่ละครั้งควรหนาไม่เกิน 2.5 มม. ซึ่งในระยะกรีด 1 ปี มีรอยกรีด 60 ครั้ง สูญเสียหน้ายางประาณ 15 ซม. ที่หน้ายางความสูง 120 ซม. จะสามารถกรีดได้ 7 ปี และต้นยางที่อายุ 15 ปี มีขนาดเส้นรอบลำต้นประมาณ 90-100 ซม. (หากบำรุงรักษาดี) จะสามารถแบ่งหน้ากรีดได้ประมาณ 10 หน้า (กรณียางมีอายุมากกว่า 10 ปี จะสามารถกรีดได้สูงถึง 150 ซม. หน้ายางหน้านี้สามารถกรีดได้ 8 ปี)
จะเห็นได้ว่าระบบนี้ทำให้ท่านสามารถกรีดยางหน้าแรกได้ถึง 50 ปีขึ้นไป โดยไม่ต้องโค่นปลูกใหม่ ซึ่งการกรีดระบบเก่าสูญเสียหน้ายางเร็วมากและต้องโค่นปลูกใหม่บ่อยเป็นการสูญเสียทางเศณษฐกิจอย่างร้ายแรง
ยางพาราที่อายุ 15 ปี ขึ้นไป ที่ขนาดรอบลำต้น 120 ซม. ควรมีน้ำหนักมวลรวม 1,500 กก. จะสามารถให้ผลผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 กก./ไร่/ปี
14. การใช้เสื้อกันฝน เป็นการป้องกันน้ำฝนลงถ้วยรับน้ำยาง สามารถเพิ่มวันกรีดในฤดูฝนได้อีก 20 วัน/ปี หรือได้ผลผลิตเพิ่ม 200 กก./ไร่/ปี (1 ครั้งกรีด ได้ผลผลิต 10-18 กก./ไร่) เราไม่ควรสูญเสียโอกาศเก็บผลผลิตในช่วงฤดูฝนซึ่งดินมีความชื้นสูง
15. การให้ผลตอบแทนคนกรีดยาง คนกรีดยางควรมีรายได้ประมาณ 120,000 - 180,000 บาท/ครอบครัว/ปี เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและีรักงาน มีใจร่วมกับเจ้าของสวนในการบำรุงรักษาต้นยาง รักษาหน้ายาง เสมือนเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ
สิ้งต่าง ๆ เหล่านี้ที่กล่าวมาเป็นเพียงเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชาวสวนยางอาจละเลย หากท่านเอาใจใส่จดบันทึกจะเห็นตัวเลขชัดเจน เราหวังว่าชาวสวนยางทุก ๆ ท่าน จะหันมาสนใจในธุรกิจสวนยางที่ท่านทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม จักได้ผลผลิตเป็นกอบเป็นกำมากกว่าเดิมคุ้มค่าการลงทุน
หากชาวสวนยางสนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามเข้ามาได้ ยินดีให้คำแนะนำทุกประการ นอกจากนี้เรายังสามารถให้คำแนะนำการใช้ฮอร์โมนแอทธิลีนเร่งน้ำยางของทุก ๆ ระบบ (เพราะลองมาหมดแล้ว) มีข้อมูลและสวนตัวอย่างให้ดู และนอกเหนือจากนี้ยังให้คำแนะนำอื่น ๆ อีกเช่น
- การวิเคราะห์ธาตุอาหารในดิน เพื่อใส่ปุ่ยให้เหมาะสมกับสภาพดิน ไม่ต้องสุ่มใส่ปุ๋ยสูตรโดยไม่รู้สภาพดินเดิม จะช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ย
- คำแนะนำแหล่งปุ๋ยคุณภาพที่ราคาไม่แพง
- มีปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพคุณภาพสูง แบ่งกันใช้ในหมู่เหล่า ไม่ทำเป็นการค้า
- มีน้ำหมักชีวภาพสูตรผสมพิเศษ ทาหน้ายางรักษาโรคเชื้อรา และทำให้เปลือกนิ่ม กรีดง่าย
- รับให้คำปรึกษาการทำสวนยางอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงประเด็น
มาตี่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)